สูท Bespoke จาก The Primary Haus - ช่างตัดสูทคนไทยสายเลือด Napoli
“The Primary Haus” เป็นร้านตัดสูทหน้าใหม่ไฟแรงแห่งหนึ่งในกรุงเทพที่เปิดทำการมาได้แล้ว 2 ปีกว่า ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 36 ดำเนินการโดยเจ้าของร้าน 3 หนุ่มชายฉกรรจ์ ร้านนี้เป็นอีกที่หนึ่งที่ผมต้องขออนุญาตยกให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สำคัญมากสำหรับผมในการเรียนรู้ Sartorial Menswear และ Classic Menswear หลายๆแขนง เพราะนอกจากที่ร้านจะรับตัดสูท แจ็คเก็ต กางเกง เสื้อเชิ้ต และรับแก้งานแจ็คเก็ตแล้ว เจ้าของร้านแกยังขายสูท แจ็คเก็ต เสื้อเชิ้ต เนคไท รองเท้า และอีกมากมายที่เป็น “ของมือสองสภาพสวย” ในราคาที่จับต้องได้อีกด้วย
และด้วยของมือสองเหล่านี้นี่เองครับที่ทำให้ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนร้าน The Primary Haus
ครั้งแรกที่ผมไปที่นี่เพราะจะไปดู Ralph Lauren Bomber Jacket ผ้า Linen มือสองที่แกลงขายอยู่ใน Instagram ซึ่งพอได้เอามาใส่แล้วก็เกิดอาการเสพติด เริ่มอยากแจ็คเก็ตมือสองขึ้นมา ผมเลยตามคอยส่องของที่แกลงอยู่ตลอด ของที่แกเอามาลงมันล่อตาล่อเงินในกระเป๋ามากครับ เพราะตรงสาย Sartorial Menswear และไม่ได้เป็นของอะไรมั่วๆมาลงขาย แต่เป็นของที่มีชื่อเสียงจาก Tailor เจ้าดังและสภาพสวยๆเนียนๆทั้งนั้น บวกกับแกรับเก็บความยาวปลายแขนและถักรังดุมแจ็คเก็ตด้วย ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมได้ไปที่นี่บ่อยขึ้น
พอไปบ่อยๆก็เริ่มได้เจอะเจอกับ “แก๊งป้ายยา” ที่อยู่ในวงการหลายๆท่าน ได้เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงที่ร้านมีเล่มผ้าสำหรับตัดกางเกงและแจ็คเก็ตอยู่หลากหลาย ทำให้ทุกๆวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์เลยกลายเป็นวันที่ผมจะต้องเข้าไปที่นี่เพื่อไปนั่งดูผ้า รวมไปถึงนั่งคุยกับเจ้าของร้านและแก๊งป้ายยากันไป
เป็นระยะเวลาเกือบปีหลังจากที่ผมไปที่ร้านเป็นครั้งแรกผมถึงเริ่มออเดอร์แจ็คเก็ต Bespoke เพราะส่วนตัวผมอยากเข้าใจสไตล์ “ทั้งสไตล์ของสูทที่ร้านและสไตล์ของเจ้าของร้านด้วย” หากผมไม่รู้จักและไว้ใจเจ้าของร้านดีพอผมก็คงยังไม่กล้าที่จะจ่ายเงินเพื่อตัดแจ็คเก็ตค่าตัวเกือบสี่หมื่นบาทพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่าผลลัพธ์จะออกมาดีรึเปล่า
หากท่านผู้อ่านได้ติดตามอ่านบทความหรือติดตาม Instagram ของ Signorecloset อยู่เรื่อยๆก็อาจจะทราบว่าผมแวะไปที่ร้านเกือบทุกอาทิตย์ (ถ้าแฟนไม่ด่าซะก่อน) สิ่งที่ผมเห็นจากผลงานของที่นี่หลังจากไปเยือนเกือบทุกสุดสัปดาห์คือ ไฟที่โหมกระหน่ำในการพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดีขึ้นอยู่ตลอด หายากมากเลยครับในเมืองไทยกับร้านตัดสูทที่มีไฟในการทำสิ่งตัวเองชอบให้สุดทางขนาดนี้
ระลึกความหลังกันซะยาว มาถึงคิวของพระเอกในงานกันสักทีครับ กับ Bespoke Suit จาก The Primary Haus
แจ็คเก็ตหรือสูทเอาไปใช้ในโอกาสไหน
ผมขอสารภาพก่อนว่า จริงๆแล้วตอนแรกผมจะตัดเฉพาะแจ็คเก็ตเพียงอย่างเดียว ไม่ได้คิดจะตัดเป็นชุดสูท แต่หลังจากช่วงฟิตติ้งที่ 2 ของแจ็คเก็ตผมได้ไอเดียขึ้นมาว่า อยากได้ชุดสูทสีน้ำตาลเข้มที่ดูไม่จริงจังเกินไปสักชุด เป็นสูทที่ใส่ไปงาน Formal โดยที่ผมยังสามารถใส่ดีเทลลูกเล่นสนุกๆลงไปบนสูทได้ด้วย แต่ก่อนใส่ก็อาจจะต้องเลือกงานสักนิดนึงเพราะดีเทลที่ผมละเลงลงไปถือว่าค่อนข้างที่จะ Casual เรียกได้ว่าเป็นสูทที่ตัดตามใจผมชอบก็ว่าได้ครับ
แจ็คเก็ตตัวนี้จะใส่เป็นชุดสูททั้งชุดใน Setting ที่ Casual ก็ได้ จะจับกางเกงและแจ็คเก็ตใส่แยกกันก็ยังไหว บวกกับผ้า Fox Air สีน้ำตาลที่ผมตัดเป็นแจ็คเก็ตหากใส่เป็นสูททั้งตัวน่าจะสวยกว่าใส่แยกเดี่ยวๆเป็น Odd Jacket ไป
ดังนั้นผมเลยออเดอร์กางเกงเพิ่มทีหลัง เป็นสาเหตุทีทำให้กางเกงมาหลังจากแจ็คเก็ตสูทนั่นเองล่ะครับ
ไอเดียในการเลือกผ้า
ผมเลือกสูทสีน้ำตาลเข้มเพราะด้วยเหตุผลหนึ่งคือ “ไม่ค่อยมีคนใส่” จริงๆแล้วสีน้ำตาลเข้มเป็นอีกสีหนึ่งที่ใส่ได้ง่ายมากไม่แพ้สี Navy Blue หรือ Charcoal Grey เลยครับ ซึ่ง Nature ของสูทสีน้ำตาลเข้มเป็นสีที่ค่อนข้างให้ความเป็นทางการสูง แต่ผมเลือกผ้า Fox Air มา Contrast จากการที่ผ้าเป็น High Twist ทำให้มี Texture ที่ Dry และไม่ค่อยเงา ใส่สบายและระบายอากาศได้ดี บวกกับดีเทลบนตัวแจ็คเก็ตที่ Casual ช่วยมา Contrast ความเป็นทางการออกไปส่วนหนึ่ง ทำให้เป็นสูทที่ใส่ได้ในโอกาสหลากหลายมากขึ้น
หากท่านผู้อ่านยังไม่เคยรู้จักกับผ้า High Twist สามารถไปอ่านอีกบทความหนึ่งเพื่อทำความเข้าใจกับผ้าชนิดนี้เพิ่มเติมได้เลยครับ
สีน้ำตาลจากโรงทอผ้า Fox Brothers เป็นสีน้ำตาลที่สวยมากครับ เป็นโทนสีที่ไม่สามารถหาได้ในผู้ผลิตผ้าเจ้าอื่นในตลาดเลย เค้าจะให้โทนที่ Rich และเข้มข้น มีคาแรคเตอร์เฉพาะตัวสูง
หากท่านผู้อ่านลองดูตัวผ้า Fox Air ตัวนี้ใกล้ๆจะเห็นว่า ในเนื้อผ้าเค้าไม่ได้มีเฉพาะสีน้ำตาลเพียงสีเดียว แต่จะมีริ้วสีเฉดที่เป็นน้ำตาลอ่อน น้ำตาลแดง และสีน้ำเงินเข้มแฝงอยู่เล็กๆกระจายไปทั่วผืนผ้าโดยมีสีหลักคือสีน้ำตาลเข้ม แต่เมื่อดูในระยะคุยกันจะเห็นเป็นสีน้ำตาลปกติโดยที่เราดูออกว่าไม่ใช่สีน้ำตาล Solid เรียบๆเพียงสีเดียว เรียกได้ว่าสีน้ำตาลติดแดงนิดๆเป็นหนึ่งในสี Signature ของ Fox Brothers ก็ได้ครับ
Styling สูทที่เป็น Reference
แจ็คเก็ตเป็น Full Canvas โดยที่ดีเทลของแจ็คเก็ตตัวนี้ผมเลือกไปในทางที่ค่อนข้างจะ Casual และผมเจาะจงเลือกเป็น Soft Tailoring โดยให้เสริมโครงสร้างด้านในให้น้อยที่สุด เพราะจะได้ความ Relax ของสไตล์ Napoli ซึ่ง Signature ของที่ร้านคือมี Shape ของ Florentine มาผสมผสานกันเข้าไปด้วย แต่ดีเทลต่างๆจะเน้นหนักไปทาง Extreme Neapolitan ที่ผมชอบ
หนึ่งในสไตล์ที่ผมชอบของ The Primary Haus คือ Shape ของชิ้นหน้าที่มีจริตจะก้าน เมื่อปิดกระดุมที่เอวแจ็คเก็ตชิ้นหน้าจะดูเหมือนเป็นพระจันทร์ครึ่งวงกลมมาชนกัน ซึ่งความโค้งบริเวณชิ้นหน้าของแจ็คเก็ตจะไม่ได้หยุดที่กระดุมเอวเท่านั้น แต่จะโค้งอ่อนๆต่อลงไปถึงปลายแจ็คเก็ตเลยทีเดียว บวกกับ Pattern ของชิ้นหน้าที่เน้น Curve ของความมนค่อนข้างเยอะ สังเกตจากบริเวณด้านล่างจากกระดุมเม็ดเอวลงมานะครับว่าเมื่อกลัดปิดกระดุมแล้ว ความโค้งอ่อนช้อยยังเดินต่อไปถึงชายแจ็คเก็ต ทำให้ลุคดูละมุนและกระแดะมาก (ขออนุญาตยืมภาษาของอาจารย์อาร์ม @americanotaste มาใช้นะครับ) ซึ่งผมชอบเป็นการส่วนตัวและเป็นเอกลักษณ์ของ Florentine Style
Cut ของแจ็คเก็ตจะมี Gorge Line ค่อนข้างสูง ช่วยทำให้ช่วงอกดูผายออกมากขึ้น ไหล่สามารถเลือกได้ทั้งแบบ Unpadding และ Soft Shoulder (เสริมไหล่แบบบาง ซึ่งจะสัมพันธ์กับรูปแบบของการเข้าหัวแขน Sleeve Head) ผมเลือกการเข้าไหล่แบบ Spalla Camicia ให้จับจีบที่ไหล่แบบชัดๆไปเลย
การจับจีบทำออกมาได้สวยงาม ให้ Silhouette ที่มีความ Napoli จัดจ้าน ที่นี่น่าจะเป็น Tailor คนไทยไม่กี่เจ้าที่สามารถจีบจับออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ การจับจีบในบริเวณหัวไหล่ตอนเย็บต่อปลอกแขนเข้ากับตัวแจ็คเก็ตให้ดู “ไม่พยายาม” เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก จริงๆช่างเจ้าไหนก็สามารถทำได้หากรู้วิธีและเทคนิค แต่ทำออกมาแล้วจะสวยหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
ลักษณะของปกเป็น 3 Roll 2 ที่การม้วนตัวของปกทำออกมาได้สวยงามเซ็กซี่ ปกจะม้วนไปจบเลยกระดุมเม็ดที่ 1 ไปอยู่นิดหน่อย แต่ไม่ถึงกระดุมเม็ดที่ 2 บริเวณเอว สาเหตุเป็นเพราะการจบที่กระดุมเม็ดที่ 1 จะช่วยสร้าง Silhouette ของความเป็นพระจันทร์ครึ่งวงกลมได้สวยงามกว่าตอนติดกระดุมเอว เมื่อเราเปลี่ยนไปใส่แจ็คเก็ตแบบไม่ได้ติดกระดุมเม็ดที่ 2 ก็จะยังเห็น Roll ที่สวยงามนี้อยู่ได้ชัดเจน เป็นสไตล์ที่มีกลิ่นอายมาจาก Liverano & Liverano ซึ่งเป็น Florentine Tailor
อีก Signature หนึ่งของที่ร้านคือ “Dual Extended Front Dart” หรือการตีสาบหน้าสองเส้น สไตล์แบบนี้เราจะเจอได้ใน Neapolitan Tailoring อย่างเช่น Rubinacci ที่เป็นเส้นสาบด้านหน้าเส้นเดียวตียาวลงมา ซึ่ง Traditional Napoli เค้าจะตีเส้นสาบลงไปถึงสุดชายขอบแจ็คเก็ตเลยครับ โดยปกติที่เราคุ้นเคยกันเส้นสาบนี้จะไปสุดที่ปลายบนของกระเป๋า Jetted Pocket แต่หากไม่ชอบลุคนี้ก็สามารถเลือกออปชั่นลักษณะของการตีสาบให้เป็นเส้นเดียวลงมาถึงปลายกระเป๋าด้านบนได้
จะเห็นได้เลยครับว่าดีเทลทั้งหมดนี้เป็นดีเทลที่ Casual จัดมากๆ ผมเสริมดีเทลที่ให้ความ Casual แบบนาโปลีเพื่อเข้าไปตัดกับความ Formal หลายๆอย่าง บางท่านอาจจะมองว่ามันดูแปลกหรือไม่ใช่สไตล์จากที่ไหนโดยเฉพาะ ส่วนตัวผมอยากให้สูทตัวนี้เป็นสูทที่เรียกว่า Statement Suit ก็ได้นะ คือเป็นสูทที่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวผมได้ชัดเจนโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร ถ้ามองไกลๆหรือมองปกติมันก็คือสูทสีน้ำตาลตัวหนึ่งนี่แหละครับ แต่หากสังเกตดูรายละเอียดแต่ละจุดที่มีความ Subtle ก็จะเห็นได้ถึงความบ้าคลั่งที่ผมใส่เข้าไปอยู่
โครงสร้าง Full Canvas ของ The Primary Haus ทำได้ดีสมกับราคา แต่เมื่อเทียบกับ Napoli Jacket จาก Tailor นาโปลีจริงๆ หางม้าที่ใช้ในแจ็คเก็ตของ The Primary Haus ยังคงมีน้ำหนักที่มากกว่า หนากว่า และระบายอากาศไม่ได้ดีเท่า ซึ่งก็เป็นคอมเม้นเดียวที่ผมกำลังเชียร์เจ้าของร้านให้เอา Canvas จากอิตาลีมาใช้อยู่ แต่ราคาแจ็คเก็ตก็จะสูงขึ้นตามมา
รายละเอียดที่เหลืออื่นๆ ได้แก่ กระเป๋าหน้าอกทรง Barchetta ที่มีการใส่ดีเทลการเย็บตัวหนอนเพิ่มเข้าไปที่ขอบกระเป๋า กระเป๋าช่วงเอวซ้ายขวาเป็นแบบ Jetted Pocket ผมเลือกการเดินด้ายทั้งตัวเป็นแบบ Double Stitching ซึ่งผมชอบเป็นการส่วนตัว สามารถสังเกตเห็นได้ตามแนวปก บ่า ตะเข็บรอบไหล่ และขอบชายแจ็คเก็ตทั้งหมด การเพิ่มดีเทลแบบเดินด้ายคู่จะไปช่วย Contrast กับความ Formal ของแจ็คเก็ตสีน้ำตาลเข้มได้เป็นอย่างดี
รังดุมทั้งหมดในแจ็คเก็ตเป็นรังดุมถักมือ ซึ่งก็จะให้ความแข็งแรงของรังดุมที่มากกว่ารังดุมถักเครื่องโดยเฉพาะรังดุมที่มีขนาดใหญ่บนตัวแจ็คเก็ต
ซับในผมเลือกเป็นแบบ Half Lining เพื่อการระบายอากาศที่ดี โดยเป็น Lining จากแบรนด์อิตาลีชื่อ Carnet สีส้มลาย Paisley วัสดุที่ใช้ทอเป็น 100% Viscose หรือ Rayon ที่เป็นวัสดุ Semi-Synthetic ใส่เนียนลื่นสบายคล้ายคลึงกับ Silk ช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ของแจ็คเก็ตเวลาปลดกระดุมเอวแล้วเปิดแจ็คเก็ตเพื่อเอาของที่เก็บไว้ในกระเป๋าด้านใน
การตัดแจ็คเก็ตเป็นการสั่งตัดแบบ Bespoke จะมีการฟิตติ้ง 2-3 ครั้งเพื่อความชัวร์ของ Final Fitting หลังจากตัดเสร็จออกมาแล้ว
โดยรวมฟิตติ้งบริเวณปกคอกอดแนบสนิทดี ไม่มี Gap ช่องว่างเหลือ ผ้าชิ้นหน้าทิ้งตัวได้สวย ช่วงบ่าเนียนสะอาด ช่วงสะโพกโค้งรับได้สวย ผ้าด้านหลังผมให้ช่างเหลือไว้นิดหน่อยเพื่อความสบายในการสวมใส่ การตัดเย็บทำได้ดี ลุคที่ได้มีความชุ่ยแต่เนี้ยบตามสไตล์ที่ผมชอบ ใส่แล้วช่วงบนดูเต็มมากขึ้นรับกับกางเกงที่ค่อนข้างเป็นทรงกระบอกใหญ่เหมาะสม เป็นฟิตติ้งที่ไม่ได้มีความ Slim แต่เน้นสัดส่วนแต่ละจุดได้สวยงามและชดเชยความไม่สมมาตรของท่อนบนผมได้ดีมาก
ด้วยความที่ไหล่สองข้างผมยาวไม่เท่ากันและมีความสูงแตกต่างกัน ช่างจึงได้มีการชดเชยความยาวบ่าของไหล่สองข้างบนแจ็คเก็ตให้ไม่เท่ากันโดยอิงจากหัวไหล่จริงจากแต่ละฝั่ง นอกจากนั้นช่างยังได้ปรับให้เวลาผมใส่แจ็คเก็ตแบบติดกระดุมเอวแล้วไหล่สองข้างจะยังคงดูเท่ากันและอยู่ในระนาบเดียวกันโดยไม่มีการเสริม Padding ที่บ่าเลย ยังคงเป็น Soft Shoulder แบบ Napoli อยู่
ตอนผมสวมใส่จริงท่านผู้อ่านน่าจะดูไม่ออกว่าจริงๆแล้วแจ็คเก็ตตัวนี้ไม่ได้มีความสมมาตรกันของฝั่งซ้ายและขวาเลย แต่เมื่อจับมาแขวนบนไม้แขวนทิ้งไว้ก็จะพอดูออกถ้าลองสังเกตดีๆ เทคนิคของช่างผมจะไม่ขอกล่าวถึงแต่ผมประทับใจตรงนี้มาก
อีกเรื่องหนึ่งคือ Drape ที่หน้าอกซึ่งตอนแรกที่ผมออเดอร์ไปผมต้องการให้มี Drape บริเวณหน้าอกที่ป่องออกมาหน่อยเพื่อให้ได้ลุคที่มีความอกผายไหล่ผึ่งมากขึ้น แต่พอถึงฟิตติ้ง 2 ผมก็เปลี่ยนใจอยากเอา Drape ออก ซึ่งก็เป็นความผิดของผมเอง ณ จุดนี้ที่ขอเปลี่ยนฟิตติ้งกระทันหัน เมื่อตัดออกมาเสร็จแจ็คเก็ตจึงยังมี Drape อกให้เห็นอยู่บ้าง
ฟิตติ้งบริเวณแขนทำได้ดี ดูจากด้านข้างทั้งฝั่งซ้ายและขวาแขนทิ้งตัวลงมาได้สวยงาม แต่ผมยังรู้สึกว่าช่วงแขนยังแน่นไปนิดและปลายศอกยังชนปลอกแขนแจ็คเก็ตอยู่หน่อยทำให้ช่วงแขนยังไม่เนียนเท่าที่ควร ถ้าขยายผ้าตั้งแต่ช่วงศอกลงมาก็จะใส่สบายและแขนด้านหน้าจะทิ้งตัวได้เนียนมากกว่านี้อีก ผมได้คุยกับที่ร้านและส่งกลับไปให้ช่างแกปรับเพื่อเอา Drape หน้าอกออกเพื่อให้ช่วงบนมีความ Napoli มากขึ้น ขยายปลอกแขนอีกนิดหน่อย และเก็บเอวเข้าอีกนิดเดียวเพื่อให้เห็น Shape มากขึ้น เป็นอันจบพิธี
***รูปในบทความนี้ที่ผมใส่เป็นชุดสูททั้งตัว คือรูปที่ผมส่งแจ็คเก็ตกลับไปเก็บช่วงอกให้มี Drape น้อยลง แก้ช่วงวงแขน และเก็บเอวเรียบร้อยแล้วครับ รูปที่เป็นแจ็คเก็ตใส่คู่กับกางเกงสีเบจเป็นเซ็ตที่ถ่ายไว้ก่อนนำกลับไปแก้
ในส่วนของกางเกงที่เป็นส่วนประกอบในชุดสูท ฟิตติ้งสามารถทิ้งตัวลงมาจากเอวได้คลีนมาก โดยส่วนตัวผมชอบฟิตติ้งกางเกงที่มีช่วงเอวไม่รัดมาก หรือก็คือค่อนมาทางหลวมนิดนึงเผื่อไว้ให้ใส่สายเอี๊ยมหรือ Suspender ช่วย เพราะเอวที่หลวมหน่อยๆนี้จะทำให้เวลานั่งจะสบายช่วงพุงมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วยครับ
ฟิตติ้งกางเกงเป็น Classic Fit ที่สามารถทำให้กางเกงสามารถทิ้งตัวลงมาจากสะโพกได้ตรง คลีน ให้จีบที่คมกริบ ไม่มีรอยหักของจีบ และไม่มีรอยยับย่นของผ้าบนตัวกางเกง ซึ่งก็เป็นหนึ่งใน Aesthetic ที่ทำให้ลุคทั้งหมดดูคลีน สะอาด และดู Professional ไมว่าเราจะนำกางเกงไปใส่แยกออกจากชุดสูทโดยใส่กับเสื้อเชิ้ตเฉยๆ หรือจะใส่แจ็คเก็ตคลุมทับเข้าไปด้วยก็ตาม
นอกจากเอวแล้ว หากเราไล่ตามจุด Checkpoint ต่างๆ ก็จะพบว่า สะโพกใส่สบาย ช่วงสะโพกสะอาด จีบปิดได้สนิทดี ช่วงต้นขาใหญ่เพียงพอที่จะนั่งได้สบาย แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เกินจนผ้าย่นเหลือ ช่วงเข่าเมื่อนั่งแล้วไม่มีอาการผ้ารั้งเข่า และปลายขาที่เปิดอยู่ที่ 8.75” ใหญ่เพียงพอที่จะทำให้ช่วงน่องด้านหลังไม่ไปรั้งผ้า เรียกได้ว่าเป็นฟิตติ้งที่ “Perfect” เลยทีเดียว
นอกจากนั้น ออปชั่นกางเกงผมเลือกเป็นแบบงานมือ โดยกางเกงทั้งตัวจะถูกเย็บด้วยมือถึง 80-90% โดย Master Tailor เพียงคนเดียว ซึ่งหากมองจากภายนอกเราก็จะเห็นได้ตามขอบตะเข็บต่างๆที่มีการ Pick Stitching อยู่ทั่วทั้งตัว ขอบเอวเย็บแบบซ่อนด้าย และมีการใส่ดีเทลตัวหนอนตามขอบที่มีการจบช่วงต่อของชิ้นผ้า
หากท่านผู้อ่านต้องการทราบว่าการเช็ค Fitting ที่สวยในมุมมองของ Classic Menswear เป็นอย่างไร สามารถตามไปอ่านได้ที่บทความนี้เลยครับ
อย่างที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นว่าผมไปเยี่มเยียน The Primary Haus บ่อย และได้ไปสังเกตการฟิตติ้งและงาน Final จากลูกค้าหลายๆท่านของที่ร้าน ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าลุคของแจ็คเก็ตที่ได้จะออกมาตรงใจแบบที่ผมชอบ ด้วย House Cut ที่มีการผสมผสาน Neapolitan และ Florentine เข้าด้วยกันจึงเกิดเป็นลุค Signature ของร้านขึ้นมา
ด้วยความที่เนื้อผ้า Fox Air เป็นผ้า High Twist ที่ค่อนข้าง Dry ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการ Break-In ค่อนข้างนาน ผมได้ใช้เวลาอยู่กับแจ็คเก็ตตัวนี้มา 4 วันก่อนที่จะถ่ายรูปเพื่อเขียนบทความ แต่ก็เริ่มได้เห็นแล้วว่ายิ่งใส่ยิ่งสวยยิ่งรับกับสัดส่วนมากขึ้นแน่ๆ
***สำหรับรูปที่เป็นชุดสูททั้งตัว แจ็คเก็ตสูทได้อยู่กับผมมาได้ 2 เดือนแล้ว จะเห็นว่าสัดส่วนของแจ็คเก็ตสูทนั้นลงตัวและเข้ารับกับสัดส่วนของผมได้ดีขึ้นมากกว่ารูปเซ็ตแรกมากหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับแจ็คเก็ตตัวนั้นอยู่เรื่อยๆ
หากท่านใดสนใจ House Cut จาก The Primary Haus บวกกับวิธีการตัดแบบ Bespoke ที่ฟิตติ้งจากการวัดและขึ้น Pattern ตามสัดส่วนจริงของตัวเรา ผมแนะนำได้เต็มปากว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
Total Look ของเซ็ตนี้
Jacket: The Primary Haus Bespoke ผ้า Fox Air โดย Fox Brothers
Trouser: The Primary Haus Bespoke ผ้า Crispaire โดย Holland & Sherry และกางเกงสูทผ้า Fox Air โดย Fox Brothers
Shirt: Vincenzo di Ruggiero Napoli แบบ Button Down Shirt และเสื้อเชิ้ต Spread Collar ตัดแบบ Bespoke โดย The Primary Haus
Shoe: Crockett & Jones Cavendish เป็น Tassel Loafer หนังกลับ และรองเท้า Black Cap Toe Oxford ลาย Brogue แบบ Adelaide โดย Saint Crispins